วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แนะนำตัว

ผมชื่อนายจตุรภัทร    พรหมเจียม ชื่อเล่น อาร์ม อยู่ ม.4/7 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา

ส่วนประกอบของเลือด

เลือดประกอบด้วย



น้ำเลือด (plasma) เป็นส่วนที่เป็นของเหลวของเลือดทั้งหมด มีสีเหลืองอ่อน ค่อนข้างใส มีปริมาณ 55 % ของปริมาตรเลือด ประกอบด้วย



1. น้ำปริมาณ 90 % ของน้ำเลือดทั้งหมด        

- ทำละลายของอาหาร ก๊าซ ของเสียต่างๆในเลือด
- ช่วยลดความหนืดของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ง่าย

2. โปรตีนชนิดต่างๆ  ได้แก่ albumin  globulin  และ  fibrinogen
- ทำให้เกิดแรงดันออสโมซิสในน้ำเลือด รักษาปริมาตรของเลือด และรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย

- เป็นตัวพาสารต่างๆ และสร้าง antibody

- ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว

3.โปรตีนที่ช่วยควบคุมและป้องกัน ได้แก่ antibody    hormone   และ  enzyme        
- ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
- ช่วยควบคุมการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ
- ช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

4. สารอนินทรีย์ เช่น NaCl, Ca, K, Bicabonate, I        

- ถ้าเป็นของเสียจะถูกกำจัดออก ถ้าเป็นสารอาหารจะอยู่ในน้ำเลือด เพื่อส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของเซลล์      

5. สารอินทรีย์ เช่น ยูเรีย กรดยูริก แอมโมเนีย กรดอะมิโน กลูโคส ไขมัน       - มีความสำคัญต่อความเป็นกรดเป็นด่างของร่างกาย ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ผนังเซลล์ การหดตัวของกล้ามเนื้อ การขนส่งก๊าซ          

6. ก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์        
- ใช้ในการหายใจ ส่วนใหญ่ถูกลำเลียงโดย haemoglobin ส่วนน้อยละลายในพลาสมา
- ของเสียจากการหายใจ ส่วนใหญ่ละลายในพลาสมา ส่วนน้อยละลายใน heamoglobin       



เม็ดเลือด

มีปริมาณ 45 % ของปริมาตรเลือดทั้งหมด ส่วนที่เป็นเม็ดเลือดประกอบด้วย

1. เม็ดเลือดแดง (erythrocyte หรือ red blood corpuscle)

2. เม็ดเลือดขาว (leucocyte หรือ white blood corpuscle)

3. เกล็ดเลือด (platelet หรือ thrombocyte)



เม็ดเลือดแดง



มีลักษณะกลมแบน ตรงกลางเว้าเข้าหากัน (biconcave) เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 - 8 ไมครอน มีอายุประมาณ 100 - 120 วัน มีรงควัตถุสีแดงที่เกี่ยวกับการหายใจ (respiratory pigment) เรียกว่า ฮีโมโกลบิน (haemoglobin)



แหล่งสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง

- เมื่อเป็นทารก อยู่ในมดลูก เซลล์เม็ดเลือดแดงจะถูกสร้างมาจาก ถุงไข่แดง (yolk sac) ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง และไขกระดูก

- หลังอายุ 20 ปี แหล่งสร้าง คือ ไขกระดูก โดยเฉพาะ กระดูกท่อนยาวๆ เช่น กระดูกโคนขา และกระดูกโคนแขน

- วัยผู้ใหญ่ แหล่งสร้าง คือ ไขกระดูก โดยเฉพาะ กระดูกแผ่นบางๆ เช่น กระดูกอก กระดูกซี่โครง กระดูกไหปลาร้า และกระดูกกระโหลกบางส่วน

สารที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง คือ ไขมัน และโปรตีน (เป็นเยื่อหุ้มเซลล์) Fe และ amino acid (ใช้สังเคราะห์ haemoglobin และ ฮอร์โมนจากไต (kidney) ชื่อ erythropoitin ส่งมากระตุ้นเพื่อสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง







แหล่งทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง          คือ เซลล์ชื่อแมคโครฟาจ (macrophage) ของตับ (liver) ม้าม (spleen) และไขกระดูก (bone marrow) ซึ่ง Fe และ globin จะถูกนำไปสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงได้ใหม่ ส่วนสารสีในเม็ดเลือด คือ biliverdin จะถูกเซลล์ของตับเปลี่ยนเป็น bilirubin ซึ่งจะออกมาเป็นสารสีในอุจจาระและปัสสาวะ



เม็ดเลือดขาว



มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน ปกติจะใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเกือบ 2 เท่า ไม่มีสี เพราะไม่มีฮีโมโกลบิน (haemoglobin) แต่มีนิวเคลียส การที่เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่มี haemoglobin จะสามารถทำให้เซลล์ลีบเล็กผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยออกมาได้ เซลล์เม็ดเลือดขาวจะมีอายุสั้น ประมาณ 2 - 14 วัน (บางชนิดอาจมีอายุ 100 - 300 วัน) มีหน้าที่โอบล้อมและจับกินเชื้อโรคแบบฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) และอาจสร้างแอนติบอดี (antibody) ออกมาต่อต้านและทำลาย





ชนิดของเม็ดเลือดขาว



การจำแนกชนิดเม็ดเลือดขาวแบบที่ 1



1. พวกแกรนูลโลไซต์ หรือ granular leucocyte คือ พวกที่มีแกรนูลของไลโซโซมจำนวนมากในไซโทพลาสซึม พวกนี้จะสร้างมาจากไขกระดูก มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 2 - 3 วัน สามารถแยกเป็น 3 พวกย่อยๆโดยการติดสี ดังนี้                                                                                                                           

นิวโตรฟิล (neutrophil)            เป็นพวกติดสีที่เป็นกลาง สร้างมาจากไขกระดูก มีมาก 60 - 70 % เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงประเภทแรกที่ร่างกายใช้กำจัดสิ่งแปลกปลอม

 อีโอซิโนฟิล (eosinophil หรือ acidophil)

เป็นพวกติดสีที่เป็นกรด มี 2 - 4 % ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามาในร่างกาย แต่เลือกกินเฉพาะองค์ประกอบรวมของแอนติเจน - แอนติบอดี เท่านั้น และทำลายสารที่เป็นพิษที่ทำให้เกิดการแพ้สารของร่างกาย เช่น โปรตีนในอาหาร   ฝุ่นละออง    เกสรดอกไม้

เบโซฟิล (basophil)      เป็นพวกติดสีที่เป็นด่าง มี 0.5 - 17 % ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส แต่ความสามารถจะด้อยกว่าชนิดนิวโตรฟิล และอีโอซิโนฟิลมาก ทำหน้าที่หลั่งสาร heparin เป็นสารที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด



2. พวกอะแกรนูโลไซต์ หรือ agranule leucocyte เป็นพวกที่ไม่มีแกรนูลของไลโซโซมอยู่ในโตพลาสซึม พวกนี้ถูกสร้างจากอวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ต่อมไทมัส ต่อมน้ำเหลือง ม้าม มีอายุประมาณ 100 - 300 วัน แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

- โมโนไซต์ (monocyte)          มีประมาณ 3 - 5 % มีอายุ 5 - 6 วัน ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซิส มีความสามารถสูงพอๆกับ neutrophil และสร้าง antibody ต่อต้านเชื้อโรค

- ลิมโฟไซต์ (lymphocyte)       มีประมาณ 20 - 25 %   ในขณะที่อยู่ในต่อมน้ำเหลือง จะมีหน้าที่สร้าง antibody และทำลายสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส  แบ่งเป็น 2 ชนิด

ลิมโฟไซต์ชนิด B (B - lymphocyte) หรือ B – cell      มีคุณสมบัติในการสร้าง antibodyจำเพาะโดยถ้าเซลล์บีถูกกระตุ้นโดยเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเซลล์บีจะแบ่งเซลล์ได้เซลล์ 2 ชนิด



plasma cell

-สร้าง antibody ที่จำเพาะเจาะจงทำลาย antigen แต่ละชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย

memory cell

- ทำ หน้าที่จำแอนติเจนนั้นไว้ ถ้าแอนติเจนนั้นเข้าสู่เซลล์ในภายหลัง เซลล์เมมเมอรีจะสร้างแอนติบอดีจำเพาะอย่างรวดเร็วไปทำลายแอนติเจนนั้นๆให้ หมดไป



ลิมโฟไซต์ชนิด T (T - lymphocyte) หรือ T – cell    มีการทำงานซับซ้อนมาก   บางชนิดจะกระตุ้นให้เซลล์บีสร้างสารแอนติบอดี และกระตุ้นฟาโกไซต์ให้มีการทำลายสิ่งแปลกปลอมให้รวดเร็วขึ้น   เซลล์ทีบางชนิดควบคุมการทำงานของเซลล์บี และฟาโกไซต์ให้อยู่ในสภาพสมดุล  และบางชนิดจะทำหน้าที่เป็นเซลล์เมมเมอรีด้วย



วิธีการทำลายเชื้อโรคของเซลล์เม็ดเลือดขาว

1. phagocytosis เป็นวิธีทำลายเชื้อโรคโดยการกินและย่อยสลายเชื้อโรค

2. immunization เม็ดเลือดขาวบางชนิดจะสร้างสารพวกโปรตีนที่มีคุณสมบัติต่อต้านสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค

- สารที่สร้างขึ้น เรียกว่า antibody

- สิ่งแปลกปลอม เรียกว่า antigen



เกล็ดเลือด

เกิดจากชิ้นส่วนของ cytoplasm ของเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ (ชื่อ Megakaryocytes ในกระดูก) ที่แตกออกจากกัน และหลุดเข้าสู่เส้นเลือด ไม่มีนิวเคลียส มีรูปร่างไม่แน่นอน   อายุสั้นประมาณ 3 - 4  วันเท่านั้น มีหน้าที่ ช่วยให้เลือดแข็งตัว (blood clotting) โดยการสร้างสารทรอมโบพลาสติน (tromboplastin) ออกมา



กระบวนการแข็งตัวของเลือด

ขั้นที่เกิดสาร Tromboplastin จากเพลตเลตและเนื้อเยื่อที่ได้รับอันตราย

ขั้นที่ 2 Tromboplastin ที่เกิดขึ้นจะไปเปลี่ยน Prothrombin ให้กลายเป็น Thrombin โดยอาศัยแคลเซียมอิออน และปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดบางตัวในพลาสมาเข้าช่วย โดย Prothrombin สร้างมาจากตับโดยอาศัยวิตามิน K

ขั้นที่ 3 Thrombin จะไปเปลี่ยน Fibrinogen ในเลือดให้เป็น Fibrin
ขั้นที่ 4 Fibrin เส้นเล็กๆที่เกิดขึ้นจะรวมตัวกันเป็นเส้นใยไฟบริน โดยการช่วยเหลือจาก Ca2+ และปัจจัยที่ทำให้ไฟบรินอยู่ตัว และไปประสานกันเป็นร่างแห ต่อมาจะมี เพลตเลต และเม็ดเลือดต่างๆมาเกาะบนร่างแห จึงทำให้เลือดหยุดไหล

ที่มา http://sheva.igetweb.com/index.php?mo=59&action=page&id=129692

ความดันเลือด

                  ความดันเลือด ( blood pressure)หมายถึงความดันในหลอดเลือดแดงเป็นส่วนใหญ่เกิดจากบีบตัวของหัวใจ
ที่ดันเลือดให้ไหลไปตามหลอดเลือดความดันของหลอดเลือดแดงที่อยู่ใกล้หัวใจจะมีความดันสูงกว่าหลอดเลือดแดง
ที่อยู่ไกลหัวใจ ส่วนในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำกว่าหลอดเลือดแดงเสมอความดันเลือดมีหน่วยวัดเป็น
มิลลิเมตรปรอท (mmHg) เป็นตัวเลข 2 ค่าคือ

  • ค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัว และค่าความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เช่น 120/80 มิลลิเมตรปรอท
    ค่าตัวเลข 120 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ
    เรียกว่า
    ความดันระยะหัวใจบีบตัว (Systolic Pressure)
  • ส่วนตัวเลข 80 แสดงความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เพื่อรับเลือดเข้าสู่หัวใจ
    เรียกว่า
    ความดันระยะหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure)
     เครื่องมือวัดความดันเลือดเรียกว่า “ มาตรความดันเลือด จะใช้คู่กับสเตตโตสโคป (stetoscope)'' โดยจะวัด
ความดันที่หลอดเลือดแดง
     ปกติความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจมีค่า 100 + อายุ และความดันเลือดขณะหัวใจ
รับเลือดไม่ควรเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท ถ้าเกินจะเป็นโรคความดันเลือดสูง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ เช่น
หลอดเลือดตีบตัน คอเลสเตอรอลในเลือดสูง โกรธง่ายหรือเครียดอยู่เป็นประจำ พบมากในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีจิตใจอยู่
ในสภาวะเครียด นอกจากนี้ยังเกิดจากอารมณ์โกรธทำให้ร่างกายผลิตสารชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งสารนี้จะมีผลต่อ
การบีบตัวของหัวใจโดยตรง
     ชีพจร หมายถึง การหดตัวและการคลายตัวของหลอดเลือดแดง ซึ่งตรงกับจังหวะการเต้นของหัวใจคนปกติหัวใจเต้น
เฉลี่ยประมาณ 72 ครั้งต่อนาที การเต้นของชีพจรแต่ละคนจะแตกต่างกันปกติอัตราการเต้นของชีพจรในเพศชาย
จะสูงกว่าเพศหญิง
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด มีดังนี้
  1. อายุ ผู้สูงอายุมีความดันเลือดสูงกว่าเด็ก
  2. เพศ เพศชายมีความดันเลือดสูงกว่าเพศหญิง ยกเว้นเพศหญิงที่ใกล้หมดประจำเดือนจะมีความดันเลือด
    ค่อนข้างสูง
  3. ขนาดของร่างกาย คนที่มีร่างกายขนาดใหญ่มักมีความดันเลือดสูงกว่าคนที่มีร่างกายขนาดเล็ก
  4. อารมณ์ ผู้ที่มีอารมณ์เครียด วิตกกังวล โกรธหรือตกใจง่ายทำให้ความดันเลือดสูงกว่าคนที่อารมณ์ปกติ
คนทำงานหนักและการออกกำลังกาย ทำให้มีความดันเลือดสูง 
 
ที่มา  http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson2.php#pipe

หลอดเลือด

               หลอดเลือด ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดจากหัวใจไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย และเป็นเส้นทางให้เลือดจากอวัยวะต่างๆ
ทั่วร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ    

หลอดเลือดในร่างกายมี 3 ชนิด
     1. หลอดเลือดแดง (artery) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดดีจากหัวใจไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายหลอดเลือดแดงมี
ผนังหนาแข็งแรง และไม่มีลิ้นกั้นภายใน เลือดที่อยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นเลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูง
หรือเรียกว่า “ เลือดแดง ”ยกเว้นหลอดเลือดแดงที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังปอดภายในเป็นเลือดที่มีปริมาณ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากหรือเรียกว่า “ เลือดดำ ”
     2. หลอดเลือดดำ (vein) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดดำจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจหลอดเลือดดมีผนังบางกว่า
หลอดเลือดแดง มีลิ้นกั้นภายในเพื่อป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ เลือดที่ไหลอยู่ภายในหลอดเลือดจะเป็นเลือดที่มีปริมาณ
แก๊สออกซิเจนต่ำ ยกเว้นหลอดเลือดดำที่นำเลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจ จะเป็นเลือดแดง
     3. หลอดเลือดฝอย (capillary) เป็นหลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่าวหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสานเป็นร่างแห
แทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย มีขนาดเล็กและละเอียดเป็นฝอยและมีผนังบางมากเป็นแหล่งที่มีการแลกเปลี่ยน
แก๊สและสารต่างๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์



ที่มา http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson2.php#pipe

หน้าที่ของระบบไหลเวียนโลหิต

               การไหลเวียนเลือดเกิด ขึ้นได้จากแรงที่หัวใจบีบตัวส่งเลือดตามหลอดเลือดไปยังปอดเพื่อการแลก เปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วกลับมาเข้าหัวใจเพื่อส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย สุดท้ายจะไหลเวียนมาเข้าหัวใจอีกเช่นนี้เรื่อยไป

หน้าที่ของระบบไหลเวียนเลือด อาจแบ่งได้เป็นข้อๆ ดังนี้ คือ
๑. ให้อาหาร นำอาหารและสารอื่นๆ ไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย
๒. หายใจ นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนกลับมาใช้
๓. ขับถ่าย นำของเสียซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึม เพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
๔. การคงปริมาณสารน้ำของร่างกาย ช่วยควบคุมและรักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
๕. การควบคุมอุณหภูมิ รักษาอุณหภูมิของร่างกา
ยให้เป็นปกติ
๖. ปรับระดับและป้องกัน เลือดที่ไหลเวียนช่วยนำสารบางอย่าง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกา
ยไปยังอวัยวะ ต่างๆ และนำสารบางอย่างที่เป็นตัวช่วยป้องกันร่างกายไปยังที่ได้รับอันตรายด้วย

           อาจเปรียบเทียบได้ว่าระบบการไหลเวียนเลือดมีการทำงานเป็นระบบขน ส่งซึ่งทำหน้าที่ขนส่งของดีไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ขณะเดียวกันก็นำของเสียไปยังอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดทิ้ง

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ระบบไหลเวียนโลหิต


ระบบไหลเวียนโลหิต ( Vascular system)
                     มีหน้าที่นำสารต่าง ๆ ไปส่งทั่วร่างกาย เช่น สารอาหาร ก๊าซต่าง ๆ เกลือแร่ ฮอร์โมน และรับของเสียส่งออกนอกร่างกายโดยลำเลียงไปตามเส้นเลือด ภายในเลือดประกอบ ไปด้วยส่วนที่เป็น ของเหลวเรียกว่า พลาสมาทำ หน้าที่ลำเลียงเกลือแร่ ฮอร์โมน แอนติบอดี สารอาหารต่าง ๆ ไปยัง เซลล์ต่าง ๆ และรับของเสียงจากเซลล์ไหลกลับไป ตามท่อน้ำเหลืองเรียกว่าน้ำเหลือง ส่วนเลือดที่เป็น ของแข็งเรียกว่าเกล็ดเลือด ทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
เลือดดีจากปอด ซึ่งมีปริมาณO2 สูงจะเข้าหัวใจห้องบนซ้าย เลือดเสียปริมาณCO2 สูง จะเข้าหัวใจห้องบนขวา เมื่อหัวใจห้องบนบีบตัว เลือดจะไหลผ่านลิ้นลงสู่หัวใจห้องล่าง โดยเลือดดีอยู่หัวใจล่างซ้าย เลือดเสียอยู่ห้องล่างขวา เมื่อหัวใจบีบตัว"เลือดดีจะออกจากห้องล่างซ้ายออกไปสู่ขั้นหัวใจเข้าเส้น เลือดแดง แยกเข้าเส้นเลือดฝอยไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ในขณะที่เลือดเสียจากห้องล่างขวาออกไปสู่ปอดเพื่อคาย CO2 ให้กับปอดพร้อมกับรับ O2 "เลือดจึงกลายเป็นเลือดดีกลับเข้าสู่หัวใจ
อวัยวะที่สำคัญในระบบไหลเวียนโลหิต ได้แก่
1. โลหิตหรือเลือด เป็น เนื้อเยื่อชนิดหนึ่งทำหน้าที่ ลำเลียงสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย น้ำเลือด ที่มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี เม็ดเลือดสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1.1 เม็ด เลือดแดง เป็นเม็ดเลือดขนาดเล็กมากและเป็นเม็ดเลือดที่มีปริมาณมากที่สุดทำหน้าที่ขน ส่งก๊าซอ็อกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
1.2 เม็ดเลือดขาว มีขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันโลก
1.3 เกล็ดเลือด ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว เพื่อปิดปากแผล เมื่อเกิดบาดแผลขึ้น
2. เส้นเลือดและหลอดเลือด แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. เส้นเลือดแดง เป็นเส้นเลือดรูปทรงกระบอก ทำหน้าที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังเส้น เลือดฝอย เพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2. เส้นเลือดดำ เป็นเส้นเลือดรูปทรงกระบอก ทำหน้าที่นำเลือดกลับสู่หัวใจ
3. เส้น เลือดฝอย เป็นเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กมาก มีหน้าที่นำเลือดจากหลอดเลือดแดงไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และนำเลือดดำจากร่างกายไปยังหลอดเลือดดำ
3. หัวใจ เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในระบบไหลเวียนโลหิต ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย

ที่มา  https://sites.google.com/site/organsystemwork/--vascular-system